การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์
เพื่อพัฒนาชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่
3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียน
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนกับก่อนเรียน โดยใช้ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์
เรื่อง การคูณ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะ
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้
เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนเทศบาล
1 (บ้านโพธิ์กลาง) สังกัดเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 27 คน
ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2556 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ดำเนินการใช้แผนการทดลองแบบ One
- Group Pre-test post-test Design
เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์
เรื่อง การคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 12 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ซึ่งมีค่าความยากตั้งแต่ .45-.71 ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .25-.75
และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .85 และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะ
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่า t
ผลการวิจัยพบว่า
1.
ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ
75.50/78.15 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้
2.
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
3 ที่ได้รับการสอน โดยชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
3 ต่อการเรียนด้วยชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในภาพรวมอยู่ในระดับดี คือนักเรียนมีความพึงพอใจในรูปเล่ม
กิจกรรมและพึงพอใจที่ได้มีส่วนร่วมได้ศึกษาและเรียนรู้ด้วยตนเองในระดับมากที่สุด
ซึ่งมีค่าร้อยละ 74.08 เท่ากัน ส่วนความพอใจการอธิบายของข้อตัวอย่างในชุดฝึก
มีความรู้สึกอยากเรียนคณิตศาสตร์และรู้สึกตื่นเต้นอยากเรียนด้วยชุดฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก
ซึ่งมีค่าร้อยละ 92.60 และ 62.97 ตามลำดับ
ส่วนด้านการพัฒนาความรู้และทักษะของชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา
นักเรียนมีความพึงพอใจในการนำเอาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาไปใช้และการที่ได้ฝึกคิดและจินตนาการในการหาคำตอบในระดับมากที่สุด
ซึ่งมีค่าร้อยละ 92.60 และ 81.49 ตามลำดับ
และนักเรียนมีความพึงพอใจในการได้มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการแก้โจทย์ปัญหา
4 ขั้นตอน นักเรียนมีทักษะในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์และพอใจที่มีความสามารถในการแต่งโจทย์ปัญหาในระดับมาก
ซึ่งมีค่าร้อยละ 74.08 , 66.67 และ 62.97 ตามลำดับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น