บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์
(1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและบริบทของโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านโพธิ์กลาง) (2) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์
เรื่องการบวกและการลบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์และการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้
และ(3)เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่องการบวกการลบ
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้นักเรียนจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 70 ขึ้นไป
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย
เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านโพธิ์กลาง)
สังกัดเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 31 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ (1) เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่
แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกและการลบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์และการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้
จำนวน 16 แผน (2)
เครื่องมือที่ใช้สะท้อนผลการปฏิบัติ ได้แก่
แบบบันทึกการสังเกตการณ์จัดการเรียนการสอน แบบบันทึกผลการใช้แผนการสอน
แบบบันทึกการสัมภาษณ์นักเรียน แบบบันทึกประจำวันของครู แบบบันทึกทักษะประจำบทเรียน
แบบทดสอบย่อยท้ายวงจร (3) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่
ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
รูปแบบในการวิจัยครั้งนี้ใช้เทคนิคการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
ซึ่งมีวงจรปฏิบัติการ 4 วงจร คือ วงจรปฏิบัติที่ 1
ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1-4 วงจรปฏิบัติที่ 2
ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5-8 วงจรปฏิบัติที่ 3 ประกอบด้วยแผนการสอนที่
9-12 วงจรปฏิบัติที่ 4 ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 13-16
โดยใช้รูปแบบการสอนที่สร้างขึ้น ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทำการบันทึก
สังเกต สัมภาษณ์นักเรียน เมื่อสิ้นสุดในแต่ละวงจรปฏิบัติจะทำการทดสอบย่อยเพื่อประเมินความก้าวหน้า
แล้วจึงสะท้อนผลการปฏิบัติที่ผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยนำข้อมูลที่ได้จากการบันทึก
สังเกต สัมภาษณ์นักเรียนและผลงานนักเรียน
มาวิเคราะห์อภิปรายเพื่อปรับปรุงกิจกรรมการเรียนการสอนในวงจรต่อไปให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ผลการวิจัยพบว่า
(1)
ผลการศึกษาสภาพปัญหาและบริบทของโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านโพธิ์กลาง) สรุปว่าประเด็นปัญหาที่สำคัญมี
2 ประเด็น คือ ด้านตัวครูผู้สอน ที่จัดการเรียนการสอนโดยยึดครูเป็นศูนย์กลางในการเรียน
ครูขาดการเตรียมการสอน ยึดแบบเรียนมาตรฐานเป็นหลัก
ให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดโดยไม่เข้าใจ ขาดเทคนิคการสอนและวิธีการสอน
ทำให้การนำเสนอไม่หลากหลายและในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
เน้นให้นักเรียนทำตามมากกว่าให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในมโนมติและกระบวนการแก้ปัญหาด้วยตัวนักเรียนเอง
และด้านตัวนักเรียน
นักเรียนส่วนใหญ่ยังขาดแนวทางในการคิดแก้ปัญหาที่หลากหลายเนื่องจากจำเพียงวิธีการเดียวที่ครูสอนในการหาคำตอบเท่านั้น
นักเรียนที่อ่อนไม่สนใจและไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อน นักเรียนไม่ได้รับการส่งเสริมให้เรียนร่วมกันเป็นกลุ่ม
ทำให้นักเรียนขาดทักษะการทำงานร่วมกัน และไม่ได้ช่วยเหลือกันในการเรียนรู้
(2)
การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนการบวกและการลบ ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์และการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้
พบว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ความเข้าใจด้วยตัวนักเรียนเอง
สามารถนำประสบการณ์ในชีวิตประจำวันมาสัมพันธ์กับคณิตศาสตร์
รวมถึงการช่วยเหลือกันในการเรียนรู้ภายใต้บรรยากาศที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีความสามารถในการใช้กระบวนการคิดของตนเองแก้ปัญหา
ซึ่งรูปแบบการสอนการบวกและการลบตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์และการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้
ประกอบด้วย 5 ขั้น คือ 1) ขั้นนำ
เป็นการแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้และทบทวนความรู้เดิม 2) ขั้นสอน ประกอบด้วย (1) การเผชิญสถานการณ์ (2)
การสร้างความรู้ความเข้าใจด้วยตนเอง (3) การตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ (4) การเสนอความรู้ความเข้าใจต่อกลุ่มใหญ่ 3) ขั้นสรุป
เป็นการสรุปมโนมติความรู้และหลักการต่างๆ ที่ได้เรียนในแต่ละชั่วโมง 4) ขั้นศึกษากลุ่มย่อย
เป็นการพัฒนาทักษะโดยนักเรียนจะเข้ากลุ่มย่อย
ศึกษาบัตรเนื้อหาทำกิจกรรมจากบัตรกิจกรรมซึ่งเป็นสื่อกลางเพื่อช่วยเหลือกันในการเรียนรู้
และตรวจสอบคำตอบจากบัตรเฉลย 5)
ขั้นพัฒนาการนำไปใช้เป็นการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้แกปัญหาในสถานการณ์ใหม่
โดยการทำแบบฝึกทักษะประจำบทเรียน
(3)
นักเรียนที่ได้รับการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์และการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้
มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคิดเป็นร้อยละ 74.57
สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 70 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ
80.64 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์จำนวนนักเรียนที่กำหนดไว้ร้อยละ
70